ว่ากันว่าเกมที่สังเวียนแข้ง แอนฟิลด์ จะถือเป็นบทพิสูจน์ว่า อาร์เซน่อล คู่ควรที่จะคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ในซีซั่นนี้ไปครองหรือไม่? และในที่สุด เดอะ กันเนอร์ส ก็ทิ้งสองแต้มให้หลุดมือไปจนได้แม้จะนำหน้า ลิเวอร์พูล ไปก่อนถึงสองเม็ด แต่ไม่วายโดน เครื่องจักรสีแดง ไล่บดขยี้อย่างหนักในครึ่งหลัง และหนีไม่พ้นโดนแบ่งแต้มจากผลเสมอ 2-2 ในการฟาดแข้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 เม.ย. ซึ่งทำให้การแย่งแชมป์ของทีมเมืองกรุงกับ แมนฯ ซิตี้ แชมป์เก่า ยังไม่จบสิ้นง่ายๆ 1. คล็อปป์ ปรับทัพอุตลุดตามคาดเจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล เปลี่ยนทีมตัวจริงมากถึงห้ารายจากเกมบุกไปเสมอกับ เชลซี 0-0 หมายให้ หงส์แดง เผด็จศึก อาร์เซน่อล ทีมจ่าฝูงให้ได้หลังจากพวกเขามีผลงานไม่สู้ดีติดต่อกันหลายเกม ในจำนวนนี้ โม ซาลาห์ ได้กลับมาลงเล่นเป็นตัวจริงเช่นเดียวกับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ที่หายป่วย พร้อมทั้งมีการปรับโฉมแผงหลังอีกรอบโดยเหลือแค่ อิบราฮิม่า โกนาเต้ ยืนพื้นต่อรายเดียวเท่านั้นจากเกมบู๊กับ สิงห์บลูส์ ขณะเดียวกัน เจ้าถิ่นได้ต้อนรับการกลับมาของ ติอาโก้ ด้วยโดยกองกลางสแปนิชซึ่งเจ็บสะโพกไปนานสิบนัดมีชื่อนั่งเป็นตัวสำรองร่วมกับ ดาร์วิน นูนเญซ ที่ป่วยเล็กน้อย2. ปืนใหญ่ แข็งโป๊ก ได้ ซาก้า คัมแบ็คอาร์เซน่อล ทีมจ่าฝูงบุกมาเหยียบ แอนฟิลด์ ในสภาพทีมที่พร้อมรบเต็มร้อยเนื่องจากได้ บูคาโย่ ซาก้า ปีกตัวจี๊ดฟิตสมบูรณ์กลับมาลงเล่นเป็นตัวจริง ด้วยเหตุนี้ มิเกล อาร์เตต้า กุนซือสแปนิชจึงตัดสินใจดร็อป เลอันโดร ทรอสซาร์ สตาร์ทีมชาติ เบลเยี่ยม ให้นั่งอยู่ในซุ้มหลังจากนัดก่อนที่พิชิต ลีดส์ ยูไนเต็ด ได้สำเร็จ 4-1 ที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม อดีตขุนพลทีม ไบรท์ตัน ได้ออกสตาร์ตในโผ 11 คนแรก 3. ใส่ก่อนได้เปรียบแม้จะเป็นฝ่ายบุกมาเยือน แต่จะเห็นได้ว่า อาร์เซน่อล ชิงจังหวะเปิดเกมบุกใส่ก่อนเพื่อไม่ให้ ลิเวอร์พูล ได้ตั้งตัว และอาศัยการจู่โจมแบบสายฟ้าแลบเพียงไม่กี่จังหวะก็ได้ประตูนำเร็วตั้งแต่นาทีที่ 8 จาก กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ จากประตูดังกล่าว ทำให้ดาวยิงแซมบ้าคลำเป้าใน พรีเมียร์ลีก ได้ 25 ประตูแล้วซึ่งเป็นสถิติสูงสุดที่เทียบเท่ากับ กาเบรียล เชซุส สำหรับนักเตะอเมริกาใต้ที่ค้าแข้งในลีกอังกฤษด้วยวัยที่ไม่เกิน 21 ปี นับจากนั้น เดอะ กันเนอร์ส ก็มั่นใจมากขึ้นอักโข และยิ่งแผงหลังของทีมเจ้าบ้านยามนี้ไม่ว่าจะเป็น ฟาน ไดค์ หรือ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ต่างก็มีเกมรับที่แย่ และเปิดช่องโหว่ให้ฝ่ายตรงข้ามบ่อยครั้งก็นำมาซึ่งประตูที่สองของทีมเยือนจาก เชซุส ที่ มาร์ติเนลลี่ ตัวรุกร่วมชาติสาดบอลให้โขกไม่เหลือ อย่างไรก็ดี ในฐานะทีมเจ้าบ้านซึ่งไม่พร้อมปราชัยต่อหน้าแฟนบอลง่ายๆหากเกมยังไม่จบ สุดท้าย ซาลาห์ ก็มายิงประตูตีไข่แตกสร้างความหวังให้ปวง เดอะ ค็อป ได้ลุ้นต่อในครึ่งหลังซึ่งแม้จากสถิติต่างๆ ลิเวอร์พูล จะเหนือกว่าใน 45 นาทีแรกทั้งการครองบอล 53:47% และโอกาสง้างยิง 8:5 ครั้ง แต่เจ้าบ้านส่งบอลเข้ากรอบเป็นรอง 1:3 ครั้ง มันจึงไม่ดีพอ และทำให้สกอร์ตกเป็นรอง 2-1 4. บังโมพลาดโทษ, ปืนโตโชว์เกมรับครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล โหมบุกสุดกำลังอย่างที่สามารถคาดเดากันได้ และมาได้ลูกโทษตั้งแต่เนิ่นๆที่สามารถเป็นประตูตีเสมอได้ ซาลาห์ กลับทิ้งโอกาสซัดเม็ดสองของเกมไปอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อยิงบอลหลุดกรอบชนิดที่ อาร่อน แรมสเดล ไม่ต้องออกแรงปัดป้อง ด้วยเหตุนี้ บังโม จึงสังหารลูกโทษพลาดในเกม พรีเมียร์ลีก สองหนติดต่อกันแล้ว และเป็นการซัดบอลออกนอกกรอบเช่นกันโดยเขามีผลงานยิงลูกโทษตุงตาข่าย 18 จาก 20 ครั้ง อีกทั้งการพลาดโอกาสทองในช่วงท้ายเกมซึ่งไม่อาจเนรมิตผลลัพธ์ให้ หงส์แดง แซงชนะได้จึงทำให้เขาผิดหวังตัวเองเป็นที่สุดที่อยู่ในช่วงไร้ความคมดังจะเห็นว่าหัวหอกทีมชาติ อียิปต์ ตรงดิ่งเข้าอุโมงค์ทันทีหลังสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้าย อย่างไรก็ดี แม้จะพึ่งพา ซาลาห์ ไม่ได้เหมือนหลายๆเกมก่อนหน้านี้ ลิเวอร์พูล ก็ยังมี โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ลุกจากม้านั่งลงไปโขกประตูตีเสมอเป็นฮีโร่ของเจ้าบ้าน และเป็นอีกครั้งที่สตาร์แซมบ้าสอยตาข่าย อาร์เซน่อล ได้อย่างที่เราเห็นกันเสมอโดยมันเป็นประตูที่ 11 จาก 18 นัดแล้วที่เขาสอยตาข่ายคู่ปรับรายนี้ได้ และมีแค่ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ เป็นดาวยิงทีม หงส์แดง รายเดียวเท่านั้นที่ตะบันประตู อาร์เซน่อล ได้มากที่สุดในทุกรายการ 12 ประตู แต่ทั้งนี้ ฟีร์มิโน่ เป็นพ่อค้าแข้งที่ฉีกตาข่าย อาร์เซน่อล ได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของเกม พรีเมียร์ลีก ชนิดที่ไม่ได้เป็นการยิงลูกโทษรวม 10 ลูกแล้ว จะว่าไปแล้ว แม้จะโดนนำก่อนสองเม็ด แต่อย่างที่ คล็อปป์ ให้สัมภาษณ์หลังเกมว่า ลิเวอร์พูล สมควรชนะมากกว่าเช่นเดียวกับที่ อาร์เตต้า ยอมรับผลเสมอเนื่องจากสถิติบ่งชี้ว่า เร้ด แมชีน ได้ตะบันในเขตโทษทีมเมืองกรุงทั้งสิ้น 19 ครั้งซึ่งมากที่สุดใน พรีเมียร์ลีก ที่ทีม ปืนใหญ่ เคยประสบมานับตั้งแต่มีระบบบันทึกข้อมูลเมื่อซีซั่น 2003/04 รวมเบ็ดเสร็จหลังจบ 90 นาที หงส์แดง ครองบอลได้มากกว่า 59:41% และได้ยิงรวมกัน 21 ครั้ง เข้ากรอบ 6 ครั้ง ขณะที่ เดอะ กันเนอร์ส ได้ยิง 9 ครั้ง และเข้ากรอบ 5 ครั้ง 5. โมเมนตัมเหวี่ยงไปหา แมนฯ ซิตี้?แน่นอนว่าหนึ่งแต้มที่ได้จาก แอนฟิลด์ ย่อมดีกว่าการพลิกแพ้จากที่ อาร์เตต้า ระบุหลังเกม แต่ที่แน่นอนยิ่งกว่านั้นมันน่าจะส่งผลดีต่อ แมนฯ ซิตี้ มากกว่าเนื่องจากทีม ปืนใหญ่ ขยับหนีพวกเขาได้แค่หกแต้มเท่านั้นจากการลงเล่นมากกว่าหนึ่งเกม และยังมีเกมบู๊กันโดยตรงอีกด้วยหลังจาก อาร์เซน่อล สร้างผลงานในด้านลบที่ แอนฟิลด์ เพิ่มเติมไปอีกโดยพวกเขาไม่เคยบุกมาชนะในเกม พรีเมียร์ลีก 10 หนแล้ว (เสมอ 3 แพ้ 7 ) แถมเสียประตูไม่ต่ำกว่าสองเม็ดทุกเกมด้วย ถึงขณะนี้ ทีมจ่าฝูงเหลือโปรแกรมให้ลงสนามอีกแปดนัด แต่หากพวกเขาบุกไปแพ้ เรือใบสีฟ้า มันก็หมายความว่าทั้งสองทีมจะมีแต้มเท่ากันในกรณีที่ต่างก็กำชัยได้ทั้งหมดก่อนเผชิญหน้ากัน รวมถึงเกมหลังจากนั้นด้วยซึ่งถ้าสถานการณ์ลงเอยแบบนั้น ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็อาจเข้าเส้นชัยโดยมีผลต่างประตูได้เสียที่เหนือกว่า ฉะนั้นแล้ว เกมที่ แอนฟิลด์ จึงมีความหมายอย่างยิ่งยวดต่อการชี้ชะตาทีมแชมป์ในซีซั่นนี้อย่างที่ แกรี่ เนวิลล์ กูรูคนดังยืนยันมาตลอดว่า อาร์เซน่อล จะแผ่วปลาย และไม่ได้แชมป์ ยกเว้นก็แต่ว่าพวกเขาจะบุกไปหักปีก หงส์แดง ได้สำเร็จ โปรแกรม พรีเมียร์ลีก แปดนัดที่เหลือของ อาร์เซน่อล เวสต์แฮม (เยือน) 16 เม.ย. เซาธ์แฮมป์ตัน (เหย้า) 21 เม.ย. แมนฯ ซิตี้ (เยือน) 26 เม.ย. เชลซี (เหย้า) 29 เม.ย. นิวคาสเซิ่ล (เยือน) 7 พ.ค. ไบรท์ตัน (เหย้า) 13 พ.ค. ฟอเรสต์ (เยือน) 20 พ.ค. วูล์ฟส์ (เหย้า) 28 พ.ค.